วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คนรุ่นใหม่..ไสยศาสตร์?

ในฐานะที่ท่านเป็นคนรุ่นใหม่ ท่านเชื่อในเรื่อง "ไสยศาสตร์" หรือไม่? เพราะอะไร?

36 ความคิดเห็น:

  1. ไสยศาสตร์ เป็นวิชาเกี่ยวกับเวทมนตร์ คาถา และ เลขยันต์ ประกอบกับการใช้อำนาจสมาธิจิต การสาธยายเวทมนตร์คาถา การภาวนา และการปลุกเสก
    - ถ้าไสยศาสตร์ มีจริง คงมีคนทำได้มากกว่าหนึ่งคน แล้วใครละ
    - ถ้าไสยศาสตร์ มีจริง ทำไมประเทศไทยถึงไม่เจริญไปไหนเสียทีละ
    - ถ้าไสยศาสตร์ มีจริง ทำไมไม่ช่วยกันออกไปช่วยทหารหาญที่รบกับผู้ก่อการร้ายที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เสียสละชีวิตเพื่อแผ่นดินละ
    - ถ้าไสยศาสตร์ มีจริง ทำไมเมืองไทยคนไทยยังจน และไม่เจริญอยู่ละ
    - ถ้าไสยศาสตร์ มีจริงทำไมไม่เสกตะปู กับหนังควาย ส่งควายธนูไปสู้กับผู้ก่อการร้ายละ
    - ทำไมเวลาบ้านเมืองเกิดปัญหาไม่เห็นมีหน้าไหนที่มีอาคมเก่งกล้าออกมาช่วยบ้านเมืองละ
    - ถ้าเราตอบว่าเป็นชะตาหรือกรรมของบ้านเมือง ก็แสดงว่าอะไรก็ช่วยไม่ได้ และถ้าตอบว่าช่วยแล้ว ก็แสดงว่าประเทศเรามีกรรมมากจริงๆ
    - และถ้าทุกประเทศมีกรรมทำไมอเมริการถึงเจริญกว่าเมืองไทย
    - ขอตอบง่ายเลยครับว่า คนในประเทศเรายังขาดวิจารญาณ ที่จะทำให้เกิดการรับรู้ และแยกแยะว่าสิ่งใดสามารถเป็นจริง และสิ่งใดไม่เป็นจริงได้ ยังคงมีแต่ความเชื่อ ความศรัทธา แต่ขาดวิจารญาณ

    ตอบลบ
  2. ต่อกระทู้ที่ 1
    1. ห้ามผิวปากเวลากลางคืนเชื่อว่าจะโดนคุณไสยที่ล่องลอยอยู่
    2. ห้ามโพกหัวหรือสวมหมวกในวัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เชื่อว่าหัว จะล้าน
    3. ห้ามบ้วนน้ำลายลงโถส้วมเชื่อว่าวาจาจะเสื่อม
    4.ห้ามนั่งบนขั้นบันไดเพราะผีบ้านผีเรือนไม่ชอบ
    5.ห้ามนั่งบนหมอนเชื่อว่าคาถาจะเสื่อม
    6.ห้ามเล่าความฝันในขณะทานข้าวเชื่อว่าแม่โพสพท่านไม่ชอบ
    7. ห้ามเดินข้ามหนังสือเพราะเชื่อว่าจะเรียนไม่จำ
    8. ห้ามนุ่งผ้าเปียกเข้าบ้านเพราะเชื่อว่าผีไม่กลัวและจะทำให้ปวดท ้อง
    9. ห้ามหญิงมีครรภ์ทำหน้าบึ้งเวลาจะหลับเชื่อกันว่าลูกออกมาจะไม่ส วยไม่หล่อ
    10. ห้ามดมดอกไม้ที่จะนำไปถวายพระเชื่อกันว่าจมูกจะเป็นไซนัสหรือริ ดสีดวงจมูก
    11.ห้ามหลับเวลาฟังพระเทศเชื่อว่าชาติหน้าจะเกิดเป็นงู
    12.ห้ามเอาของคืนเมื่อให้ผู้ใดไปแล้วเชื่อว่าจะเป็น**(นอกจากให้ ยืม)
    13.ห้ามกวาดขยะกลางคืนเชื่อว่าผีไม่คุ้มและกวาดทรัพย์ออกหมด
    14.ห้ามตัดเล็บกลางคืนเชื่อว่าอายุจะสั้น
    15.ห้ามลอดไม้ค้ำต้นกล้วยและไม้ค้ำบ้านและห้ามลอดราวผ้าและห้ามลอด ใต้แขนคนอื่นเพราะจะทำให้ของเสื่อม
    16. อย่าให้ใครข้ามหัวเพราะจะทำให้อาคมเสื่อมและของทุกอย่างเสื่อม
    17. ห้ามด่าแม่ผู้อื่นเพราะสาริกาลิ้นทองจะเสื่อม
    18 คนสักยันต์ห้ามกินฟักแฟงบวบน้ำเต้าและปลาไม่มีเกล็ดเพราะเชื่อว ่าหนังจะไม่เหนียว
    19. หากไปในที่สถานที่แปลกๆห้ามทักเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆเพราะเชื่อ กันว่านั่นคือคุณไสย หรือของไม่ดีหากใครทักจะเข้าตัวทันที
    20. ห้ามนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกเพราะเชื่อว่าวิญญาณจะออกจากร่าง( อีกอย่างหนึ่งเป็นทิศที่หันหัวคนที่ตายไปแล้ว)
    21.ห้ามขึ้นบ้านวันเสาร์ เผาศพวันศุกร์ โกนจุกวันอังคาร แต่งงานวันพุธ เพราะเป็นอัปมงคล

    คำกล่าวข้างต้นทั้ง 21 ข้อนี้เป็นความเชื่อหรอว่าเป็นกลอุบายหลอกคนให้ทำกันแน่(ใครพิสูทธิได้ว่ามีจริง)ช่วยบอกที

    ตอบลบ
  3. คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนไทยกับไสยศาสตร์ไม่ใช่ของคู่กัน เพราะวิถีชีวิตของคนไทยผูกพันธ์และข้องเกี่ยวกับไสยศาสตร์มาโดยตลอด ตั้งแต่เกิดจนเสียชีวิต มีพิธีกรรมมากมายและหลายหลายแตกต่างกันออกไปในแต่ละท่องถิ่น ถึงแม้เวลาและผ่านไป แต่ความเชื่อถือและศรัทธาแบบเดิมๆ ก็ยังคงถูกสืบทอดและปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงในปัจจุบัน แม้บางอย่างอาจถูกลบเลือนไปบางแต่ ไสยศาสตร์ก็ยังคงมีให้เห็นในสังคมไทย ซึ่งไสยศาสตร์อาจเป็นทางออกของผู้ที่เกิดปัญหาแล้วหาทางออกไม่ได้ หรือเป็นที่พึงทางจิตใจนอกเหนือจากศาสนา เช่นการที่คนเราจะทำอะไรสักอย่างต้องหาเวลาที่เหมาะสม ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเวลาที่เราสะดวกอาจเป็นเวลาที่เหมาะสมกว่าก็ได้ เพราะไม่ต้องจัดการหรือทำอะไรให้ยุ่งยาก หรืออาจจะเป็นวิธีการที่คนสมัยเก่ากำหนดวิถีการดำเนินชีวิตไว้ให้เพื่อให้เป็นไปตามความถูกต้องและเหมาะสมก็ได้ โดยการห้ามทำนั่นทำนี้ มีทั้งดีและไม่ดี หรือหากไสยศาสตร์มีจริงอาจเป็นทางออกที่สามารถแก้ไขปัญหาได้จริงก็ได้

    ตอบลบ
  4. เรื่องไสยศาสตร์เป็นเรื่องของทางจิตใจ เหมือนเป็นความเชื่อกล่าวถึงเรื่องทางไสยศาสตร์อยู่มากมาย แม้ว่าจะเป็นความเกินเลยของจินตนาการมนุษย์ แต่ก็มีเค้ามูลที่มาจากความเป็นจริง ประเพณี และวิถีปฏิบัติของผู้คนในสมัยนั้น เสภาขุนช้างขุนแผนเป็นวรรณกรรมที่มีเรื่องราวเหล่านี้มากที่สุดเรื่องหนึ่ง
    ในสังคมไทย พระพุทธศาสนากับไสยศาสตร์เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก ดังคำกล่าวที่ว่า “พุทธกับไสยย่อมอาศัยกัน” ทั้งนี้เพราะก่อนที่คนไทยจะนับถือพระพุทธศาสนาก็นับถือผีมาก่อนแล้ว ซ้ำยังได้รับอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเข้ามาทั้งก่อนและพร้อมกับพระพุทธศาสนา จึงทำให้ผสมผสานองค์ประกอบของความเชื่อทั้งสามไปด้วยกัน
    ในเรื่องไสยศาสตร์ คำว่า เวทมนต์คาถา เป็นคำที่มีความหมายสำคัญที่สุด ซึ่งเวทมนต์คาถานี้ได้รับการถ่ายทอดสืบ ๆ กันมา โดยใช้เพื่อให้เกิดความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ โดยผู้ใช้ไม่รู้ความหมายของเวทมนต์คาถานั้น ๆ แต่อย่างใด แต่อาจทราบเลา ๆว่า เป็นเมตตามหานิยม อยู่ยงคงกระพัน แคล้วคลาด แค่เมื่อเอามาแปลในทางไวยากรณ์บาลีอาจไม่ถูกต้องตามหลัก เป็นแต่มีความเชื่อเป็นที่ตั้ง จึงก่อให้เกิดพลังศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวขึ้นมาได้
    ดังนั้นทางที่ดีควรฟังไว้บ้าง ไม่ควรไปกล่าวลบลู่ ไม่เชื่อก็คิดไว้ในใจไม้องแสดงออกมา

    ตอบลบ
  5. ไสยศาสตร์ หมายถึงศาสตร์แห่งการหลับ เปรียบได้กับความรู้หรือความเข้าใจและ การกระทำต่างๆที่ไม่สามารถพิสูจน์ให้ผู้อื่นรับรู้และเข้าใจได้อย่างเป็นหลักการทุกขั้นตอน แต่สามารถให้ผลลัพธ์ ให้คุณ แสดงผล และแสดงคุณของไสยศาสตร์ได้ตามความต้องการของผู้กระทำได้ (ยกตัวอย่างเช่น การฝังรูปฝังรอย ที่ใช้วิธีนำเอาดินมาปั้นเป็นรูปคนสองคนแล้วนำมามัดเข้าด้วยกันเพื่อให้รักกันนั้นหากมองในทางไสยศาสตร์ก็คือวิชชาเสน่ห์ประเภทหนึ่งซึ่งเป็นที่ยอมรับและใช้ได้ผลกันมานานนับร้อยๆปีแต่หากมองในแง่พุทธศาสตร์แล้วกลายเป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้เลยว่าการที่นำดินสองกองมาปั้นเป็นรูปคนแล้วนำมาผูกกันจะเกี่ยวข้องอะไรกับการที่จะให้คนสองคนนั้นมารักกันได้ เป็นต้น)
    เมื่อเปรียบเทียบการใช้ชีวิตของคนไทยระหว่างการยึดหลักไสยศาสตร์กับหลักวิทยาศาสตร์ ปรากฏว่าคนที่นับถือหลักไสยศาสตร์มีมากกว่าหลักวิทยาศาสตร์ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจคือ พื้นฐานการศึกษา วัฒนธรรมท้องถิ่น ความเชื่อที่ถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น ดังนั้นเรื่องของความเชื่อ ความศรัทธาเป็นเรื่องของแต่ละคนสำหรับความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์นี้แม้ในปัจจุบันความเจริญด้านวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ยังดำรงอยู่ในชีวิตประจำวันของคนในปัจจุบัน

    ตอบลบ
  6. Sec 2 วิลาสินี สุนะ
    คนแต่ละคนมีความคิดที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าเค้าจะคิดดี หรือว่าคิดไม่ดีคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละบุคคล ในเรื่องความเชื่อก็เหมือนกัน ในที่นี้จะพูดถึงความเชื่อทางไสยศาสตร์ ที่เห็นๆ กันอยู่ว่าปัจจุบันมักจะมีเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นออกบ่อย ที่ตกเป็นข่าวกัน เช่น เรื่องของไสยศาสตร์นี้เป็นเรื่องของความเชื่อ ที่เกิดขึ้นกับแต่ละบุคคล มันอาจจะเป็นเรื่องจริงหรือว่าไม่จริง ก็ไม่อยากให้หลายๆ คนลบหลู่แต่ก็ไม่บอกให้งมงาย เรื่องของไสยศาสตร์เป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นก็จริง แต่จากประสบการณ์ และจากการพบเห็นจากหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างก็อยากจะบอกว่า วัยรุ่นในปัจจุบันมีการคลุกคลี กับเรื่องไสยศาสตร์นี้เป็นจำนวนมาก การได้ทราบได้รู้ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้ารู้แล้วนำไปทำในสิ่งที่ไม่ดีก็ไม่ควร
    เรื่องไสยศาสตร์มีมาตั้งแต่สมัยรุ่นโบราณเกี่ยวกับเรื่องภูตผีปีศาจกัน พ่อแม่เราอาจจะเชื่อเพราะ อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้สบายใจก็ดี ไสยศาสตร์ในสมัยโบราณอาจจะมีไว้ป้องกันตัว แต่ไม่ได้นำมาเพื่อทำร้ายคน แต่ในปัจจุบัน คิดว่าวัยรุ่นสมัยนี้จะหันหน้าเข้าไปหาไสยศาสตร์กันมากเหรอเกิน ถ้านำไปทำในทางที่ดีก็ดี แต่ถ้าหากนำไปใช้ในทางที่ผิดก็ค่อยดูผลกันต่อไป ..................................

    ...........ไสยศาสตร์มีไว้ใช้ให้ถูกทางไม่ได้มีไว้ให้คนงมงาย...........................................

    ตอบลบ
  7. "คำว่าไสยศาตร์"นั้น บุคคลทั่วไปอาจรู้จักกันไปในทางที่ผิด เพราะถูกมองว่าเป็นรากเหง้าของความหลงงมงาย แต่ในฐานะที่เป็นคนรุ่นใหม่มีความคิดเห็นว่า มันเป็นความเชื่อส่วนบุคคล เพราะคนเราต่างคนต่างความคิด คนเราอาจเชื่อในสิ่งนี้ แต่บางคนก็ไม่อาจจะเชื่อเลย ดังนั้นจะสรุปได้ว่าไสยศาตร์ จะมีจริงหรือไม่มีจริงแต่ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อส่วนบุคคล

    ตอบลบ
  8. ไสยศาสตร์ หมายถึง ตำราทางไสยยาศาสตร์ลึกลับเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาร เวทย์มนต์ คาถา อำนาจจิต เป็น ต้น ในฐานะที่ท่านเป็นคนรุ่นใหม่ เท่าที่เคยพบเกี่ยวกับเรื่องของ "ไสยศาสตร์" ก็เชื่อเป็นบ้างเรื่อง แต่บ้างเรื่องก็ไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ลบลู่ เพราะความรู้สึกในแต่ละครั้งที่เคยสัมผัสจะแตกต่างกันและแต่ละหมู่บ้านก็มีความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป วัยรุ่นในสมัยนี้ก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากเหมือนกันแต่ส่วนใหญ่จะใช้ในทางที่ผิด ทำมนต์ดำ ทำของใส่ผู้อื่น ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรเอาเป็นแบบอย่าง ควรจะนำแต่เรื่องดีๆ นำมาปฏิบัตินำมาใช่มากว่า

    ตอบลบ
  9. หากพูดถึงไสยศาตร์ก็เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะคับคนที่เชื่อก็เชื่อไปแต่ก็อย่างมงายมากคนที่ไม่เชื่อแต่ก็ขอบอกว่าอย่าลบหลู่นะคับเพราะเรื่องแบบนี้มันพิสุจน์กันไม่ได้แต่ถ้าพูดถึงคนรุ่นใหม่กับไสยศาตร์มันก็ไม่ต่างจากคนรุ่นเก่าเท่าไรหรอกคับเพราะไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่หรือรุ่นเก่ามีน่าจะมีความเชื่อเหมือนกันเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นความเชื่อของส่วนบุคคลและสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่หากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีความเชื่อหรือถูกปลุกฝังให้เชื่อก็จะเชื่อกันตามๆมาแต่หากอยุ่ในสิ่งแวดล้อมที่เค้าไม่ค่อยจะเชื่อกันก็อาจจะถูกปลูกฝังให้ไม่เชื่อก็ได้นะคับ ไสยศาสตร์มีมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของเรามานานช้านานไสยศาสตร์เป็นเรื่องเกี่ยวกับเวทมนต์คาถาที่สมัยก่อนเป็นเรื่องที่ทำให้คนที่มีความเชื่อเกิดความสบายใจเมื่อมีความทุกก็จะพึ่งไสยศาสตร์ช่วงให้หายทุกข์ไ้ด้เช่นการเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ก็มีคนที่ศึกษาแล้วนำมาใช้กันผิดๆแล้วก็มักเกิดผลร้ายกับตัวเองหากถามผมซึ่งเป็รคนรุ่นใหม่ว่ามีความเชื่อในใสยศาสตร์ใหม่ผมก็มีความเชื่ออยู้บ้างแต่เราก็จะปักใจเชื่อไปซะทุกอย่างมันก็ไม่ได้บางครั้งมันก็อาจทำให้เราิคิดมากจนเกิดประสาทหลอนหรือเป็นจิดเล็กๆก็ได้นะคับ แต่ใคที่ไม่เชื่อก็ไม่ควรที่จะลบหลู่นะคับเพราะอย่างที่บอกมันพิสูจน์ไม่ได้คับ

    ตอบลบ
  10. เชื่อค่ะ,,และในแต่ละชุมชนก็จะมีรูปแบบของไสยศาสตร์ที่แตกต่างกันออกไป แต่สรุปแล้วไสยศาสตร์ก็คือการทำให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น โดยผิดแปลกจากกฏของธรรมชาติ เช่น ทำให้สามีภรรยาที่ดีกันทะเลาะและแยกทางกัน ทำให้สาวหลงรักหนุ่มที่เคยเกลียด ซึ่งปกติแล้วจะใช้ไสยศาสตร์มาใช้ในทางที่ชั่วร้าย โดยเฉพาะการทำ "คุณไสย" ที่เป็นพิธีกรรมเพื่อทำร้ายผู้ไม่เป็นมิตรด้วยการปลุกเสกสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้าไปในตัว หรือฝังรูปฝังรอย หรือการทำเสน่ห์ยาแฝด ลงนะ จากผู้ที่อ้างตัวว่ามีอาคม ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกที่ทำมาหากินด้วยการหลอกลวงผู้คน หรือที่เรียกว่า พวกสิบแปดมงกุฎ ถึงกระนั้นก็ตาม“คุณไสย” หรือ “มนต์ดำ” ยังมีผู้หลงงมงายมากมาย แต่การใช้ไสยศาสตร์เพื่อจุดประสงค์ใดจุดประสงค์หนึ่ง หากใช้ปัญญาและวิจารณญาณ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ถ้าใช้ศรัทธา โดยขาดปัญญาและวิจารณญาณ ถือว่าเป็นเรื่องเสียหาย ความเชื่อที่เกิดจากปัญญาไม่ใช่เรื่องที่เหลวไหล อย่างน้อยก็ช่วยตอบปัญหา หรือค้นหาคำตอบที่เราไม่มีทางตอบได้ กรณีของความพยายามหาคนทำลายปราสาทหินพนมรุ้ง ด้วยวิธีไสยศาสตร์ อย่ามองว่าเป็นเรื่องเสียหาย เพราะอย่างน้อยก็เป็นความพยายามอีกหนทางหนึ่ง ไสยศาสตร์จึงเป้นควาเชื่อของแต่ละบุคคลแต่เรื่องแบบบนี้เราไม่สามารถที่จะพิสูจน์ได้ให้เห็นกับเป็นจริงจัง หรือทางวิทยาศตร์ แต่เราไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่ เพราะอย่างไรเราก็ไม่รู้ว่ามีจริงหรือเป็นไปตามนั้นหรือไม่

    ตอบลบ
  11. ไสยศาสตร์ เป็นวิชาเกี่ยวกับเวทมนตร์ คาถา และ เลขยันต์ ประกอบกับการใช้อำนาจสมาธิจิต การสาธยายเวทมนตร์คาถา การภาวนา และการปลุกเสก
    ถ้าหากเรามองดูแล้วในปัจจุบันสื่อต่างๆก็มีการนำไสยศาสตร์ออกมาเผยแพร่ แม้กระทังการทำเรื่องลี้ลับ ที่เกี่ยวกับเวทมนตร์ วิชาทางไสยศาสตร์ของผู้กำกับที่ออกมาเป็นหนังสู้สายตาคนทั้วโลก เราก็ไม่รู้ได้ว่าในเรื่องความลี้ลับนี้มีอยู่จริงหรือไม่เกิดมาก็ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วหากเราไม่เชื่อก็ไม่ควรไปลบหลู่เรื่องพันนี้แต่ในปัจจุบันวัยรุ่นบ้างส่วนก็มีกระแสนิยมไปในทางไสยศาสตร์ ก็คืมการใช้ของที่ไม่ดีเข้าตัว การทำเสน่ห์ การสักยันต์ เราจะไปว่าพวกเค้าไม่ได้มันเป็นความชอบหรือสิทธิส่วนบุคคล แต่ผมคนหนึ่งที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งของอยุ่ตรงกลางดีกว่า คับ

    ตอบลบ
  12. ไสยสาสตร์เป็นสิ่งที่ไม่สามารรสัมผัสได้มองไม่เห็น ในความคิดของดิฉัน ว่าควรจะเป็นกลางมากกว่าคือเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นั้นเอง
    แต่มันก็อาจเป้นความชอบส่วนบุคคลที่วัยรุ่ยสมัยนี้ชอบกันเช่น สัก ทำเสน่ห์
    ใส่ของให้กับคนที่เราไม่ชอบ บ้างครั้งก็อาจจะเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจเป็นที่พึ่งทางใจอีกทางหนึ่งก็ได้

    ตอบลบ
  13. สำหรับตัวดิฉันแล้วดิฉันขอ 50/50 คือเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ซึ่งเรื่องเหล่านี้มานขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ว่าจะเชื่อหรือไม่ แต่ดิฉันก็ไม่เคยลบหลู่นะคะ..กล่าวคือ
    ไสยศาสตร์ เกิดจากความโง่เขลาของมนุษย์ในอดีต ที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งไม่สามารถเข้าใจ หรืออธิบายได้ว่า ลักษณะความคิดนั้นเป็นอย่างไร เนื่องจากมนุษย์ ขาดความมั่น คงทางจิตใจ และความรู้ จึงเป็นบ่อเกิดของไสยศาสตร์ขึ้นมา ไสยศาสตร์เป็นสิ่งที่ถูกยกเว้น ให้ไม่ต้องมีการพิสูจน์ เพราะเป็นเรื่องของดวงดาว พระเจ้า เทวดา ปีศาจ หากปล่อยให้มี การพิสูจน์ อาจทำให้หมดความศักดิ์สิทธิ์ไป ไสยศาสตร์จึงเป็นสิ่งที่มนุษย์เราไม่รู้จัก มองไม่ เห็น ถือเป็นเรื่องลึกลับ เกินกว่าที่ตามนุษย์จะมองเห็น เลยเชื่อกันว่า เป็นอำนาจของผีสาง เทวดา หรืออะไรที่มนุษย์กลัว เป็นเหตุให้เกิดพิธีรีตองขึ้นมา เพื่อทำให้คนเชื่อถือได้สบายใจ
    นั่นก็คือว่าไสยศาสตร์มีมาในสังคมไทย นับร้อยๆ ปี โดยเฉพาะในยามสงคราม จะ มีการทำพิธี เพื่อให้ผู้ไปออกรบเกิดขวัญ และกำลังใจให้รบชนะ อาจกล่าวได้ว่า ไสยศาสตร์ได้ มีบทบาทสำคัญ ในการตอบสนองความต้องการร่วมของคนไทย ซึ่งมนุษย์แต่เดิมนั้น อาศัยอยู่ ตามถ้ำ ป่าเขา ไม่รู้จักแสวงหาเครื่องอุปโภคบริโภค มาอำนวยความสะดวกให้กับตนเอง รู้ จักเพียงการหุงหาอาหาร เพื่อการดำรงชีพตามอัตภาพ ซึ่งมนุษย์มักประสบเหตุการณ์ต่างๆ ทั้ง ความน่ากลัวแปลกประหลาด มนุษย์จึงต้องเสาะหา แหล่งคุ้มครองตนเอง เพื่อให้ปลอดภัย และ ก่อให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข จึงเกิดความเชื่อทางไสยศาสตร์ ซึ่งได้มาจากลัทธิที่นับถือ ภูติผี ปีศาจ โดยคำนึงถึงวิญญาณคนตาย ว่าวิญญาณเหล่านั้น อาจมีสถานที่อาศัย เช่นเดียวกับมนุษย์ และมีหัวหน้าเหมือนกับสังคมมนุษย์ ...
    ...ฝากเตือนด้วยนะคะใครไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่...

    ตอบลบ
  14. คนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเชื่อสิ่งใดก็ได้ เพียงแต่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน และที่สำคัญไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อน ถ้าคุณเชื่อในสิ่งนั้นแล้วทำให้คุณประพฤติปฏิบัติดี ก็คงไม่ใช่สิ่งเสียหาย ไม่มีใครไปห้ามความรู้สึกของใครได้ ดิฉันเองก็มีความเชื่อ "เชื่อในตัวเอง" เชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำเสมอ หากมันจะผิดจะพลาดก็ขอให้เกิดจากตัวดิฉันเองแต่ถ้าใครไม่เชื่อก็ขออย่าลบหลู่มันเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นเพราะเรื่องแบบนี้มันพิสุจน์กันไม่ได้เพราะว่าเรื่องไสยศาสตร์นี้มันเกิดขึ้นกับคนสมัยเก่าแต่ถ้าเราเปรียบเทียบดูแล้วว่าคนสมัยนี้จะยึดหลักไสยศาสตร์กับหลักวิทยาศาสตร์ ปรากฏว่าคนที่นับถือหลักไสยศาสตร์มีมากกว่าหลักวิทยาศาสตร์ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจคือ พื้นฐานการศึกษา วัฒนธรรมท้องถิ่น ความเชื่อที่ถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น

    อย่างที่บอกว่าถ้าไม่เชื่อก็อย่าลบหบู่นะค่ะเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นค่ะ

    ตอบลบ
  15. ปัจจุบันเรื่องไสยศาสตร์อาจจะดูลืมๆหรือเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสนใจ สำหรับวันรุ่นสมัยใหม่เท่าไหร่นัก เพราะปัจจุบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทำให้เรื่องไสยศาสตร์กลายเป็นเรื่องธรรมดาในสายตาวัยรุ่นแต่ถามว่าวัยรุ่นในปัจจุบันเชื่อเรื่องไสยศาสตร์หรือไม่ ส่วนตัวแล้ว เชื่อว่ามีจริงแต่ก็ไม่สนใจมากนักต่างกับคนสมัยก่อนไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องขึ้นอยู่กับไสยศาตร์ ทั้งนี้เพราะก่อนที่คนไทยจะนับถือพระพุทธศาสนาก็นับถือผีมาก่อนแล้ว ซ้ำยังได้รับอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเข้ามาทั้งก่อนและพร้อมกับพระพุทธศาสนา จึงทำให้ผสมผสานองค์ประกอบของความเชื่อทั้งสามไปด้วยกัน

    ไสยศาสตร์จึงเป็นสิ่งที่มนุษย์เราไม่รู้จัก มองไม่ เห็น ถือเป็นเรื่องลึกลับ เกินกว่าที่ตามนุษย์จะมองเห็น เลยเชื่อกันว่า เป็นอำนาจของผีสาง เทวดา หรืออะไรที่มนุษย์กลัว เป็นเหตุให้เกิดพิธีรีตองขึ้นมา เพื่อทำให้คนเชื่อถือได้สบายใจ

    ตอบลบ
  16. คุณว่าไสยศาสตร์มีจริงหรือไม่
    แล้วคุณเคยเจอกับตัวเองหรือยัง
    ถ้ายังไม่ ก็ยังบอกไม่ได้ว่าไสยศาสตร์มีจริง

    ไสยศาสตร์เป็นเพียงศาสตร์แขนงหนึ่งเท่านั้นที่คนโบราณเขาเคยทำกันมา มันอาจจะพิสูจน์ไม่ได้ แต่ก็มีเรื่องราวมากมายปรากฏให้เห็นกันตลอด เชื่อหรือไม่ก็อยู่ที่ตัวท่าน ซึ่งผมคิดว่ามันอยู่ที่คนว่าจะใช้ไปในทางที่ดี หรือไม่ดี โปรดใช้วิจารณญาณ ในการไตร่ตรองดูให้ดี ว่ามันเป็นไสยศาสตร์หรืออยู่ที่ตัวบุคคลเอง หุหุ
    ( ป.ล.ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ )

    ตอบลบ
  17. ดิฉันคิดว่าเชื่อค่ะขอ 30/70 แล้วกันนะ70 นี้เชื่อนะค่ะ…..
    ดิฉันเองก็เป็นเหมือนคนทั่วๆไปที่ กลัว กลัวในสิ่งที่เรามองไม่เห็น และจับต้องไม่ได้
    แต่เป็นเรื่องการกระทำมากกว่าถ้าทำดีประพฤติดี มันก็จะส่งผลดีให้เราด้วย ถ้าเราไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่อง ไสยศาสตร์หาทางเล่นของ ทำเสน่ห์ หรือหาวิธีการต่างๆที่จะได้ความสุขมาด้วยทางรัด มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเราหรอกค่ะ แต่ถ้าหากทำผิดหรือเผลอทำผิดละก็ของก็จะเสื่อมทันที ทำให้ดิฉันฉุกคิดได้ว่า ในสมัยก่อนคงมีกันอยู่เยอะจริงได้ ก็คงเป็นเพราะคนสมัยก่อนไม่ได้ทำบาปกันมากนัก หมั่นทำความดี เลยทำให้เวลามีแรงอาฆาตสิ่งใด จึงเป็นไปตามแรงอาฆาตนั้น แต่คนในสมัยนี้น้อยคนนักที่จะทำได้อย่างนั้น จึงทำให้ผู้ที่มีของเหล่านี้ลดลงไปด้วย เพราะกรรมขึ้นอยู่ด้วยการกระทำ ถ้าทำดีก็ย่อมได้ดีในสิ่งที่ตนอยากได้ แต่ถ้ากระทำไม่ดี ก็ส่งผลให้เราด้วยเช่นกัน
    แต่พูดมาถึงตรงนี้ก็ไม่ได้ให้ทุกคนเชื่อ เพราะตัวดิฉันเองก็ยังไม่ได้ปักใจเชื่อมากนัก แต่ก็ไม่ลบหลู่แต่อย่างใด ของแบบนี้ เรากับเค้าอาจอยู่กันคนละเส้นแบ่งโลก ที่เป็นเส้นขนานหากวันใดวันหนึ่งใครล้ำเส้นของใครขึ้นมา ก็อาจจะเกิดเรื่องตามมาได้ เป็นเรื่องธรรมดา
    คนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเชื่อสิ่งใดก็ได้ เพียงแต่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน และที่สำคัญไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อน ถ้าคุณเชื่อในสิ่งนั้นแล้วทำให้คุณประพฤติปฏิบัติดี ก็คงไม่ใช่สิ่งเสียหาย ไม่มีใครไปห้ามความรู้สึกของใครได้ ดิฉันเองก็มีความเชื่อ "เชื่อในตัวเอง" เชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำเสมอ หากมันจะผิดจะพลาดก็ขอให้เกิดจากตัวดิฉันเอง ไม่ใช่เพราะเชื่อคนอื่นจึงทำให้เกิดค่ะ

    ตอบลบ
  18. ไสยศาสตร์ แค่ชื่อก็ทำให้ขนลุกแล้ว มันเป็ฯสิ่งที่บางครั้งรก็รู้สึกว่าเหมือนมันมีจริง บางครั้งก็ว่ามันไม่จริง ทำไงได้ล่ะ เค้าบอกกันมาว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่งี้ เราก็เชื่อตามเค้า สำหรับดิฉัน 50/50 นะ เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรามันอาจจะเกิดขึ้นเองก็ได้โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจมันอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์เลยก็ได้ บางทีเราอาจจะกลัวในสิ่งที่เรามองไม่เห็นก็ได้ใช่ไหม อาจจะกลัวไปเองหรือเราสร้างขึ้นมาเองเคยเจออยู่ครั้งนึง น่ากลัวมากเลย ทำให้ช่วงนั้นไม่กล้าไปไหนคนเดียว ไม่กล้านอนคนเดียว กลัวแม่แต่เสียงของตก กลัวหมดเลย แตต่เรากับเค้าอยู่คนละโลกกันถ้าเราไม่ทำอะไรเค้า เค้าก็คงไม่ทำอะไรเราหรอก เราทำแต่ความดี ไม่เบียดเบียนเค้า เค้าก็คง ทางที่ดีนะค่ะ อยู่คนละโลก ต่างคนต่างอยู๋ อย่าไปยุ่งกะเค้าเลย

    ไม่เชื่ออย่าลบลู่นะคร้า ทุกคน

    ตอบลบ
  19. “ไสยศาสตร์” เป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น และไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่ก็ทำให้ใครหลายคนหลงใหลงมงายได้เหมือนกัน ซึ่งความเชื่อเรื่องของไสยศาสตร์ในความคิดของดิฉัน คิดว่าไม่ควรจะเชื่อแต่ก็ไม่ควรจะลบหลู่ดูหมิ่น ซึ่งเหตุผลที่ทำให้ดิฉันคิดว่าไม่เชื่อนั้น เพราะบางสิ่งไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นการใช้ไสยศาสตร์ และหากว่าไสยศาสตร์มีจริงและสามารถทำได้ ณ เวลานี้สังคมไทยคงจะมีความสุขและสงบกันมากกว่าที่เป็นอยู่ หากว่ามีอยู่จริงคงจะมีใครสักคนคิดที่จะทำให้สังคมของเรามีความสงบสุขโดยอาศัยไสยศาสตร์บ้าง แต่โดยส่วนใหญ่ก็จะใช้ไสยศาสตร์ในทางด้านที่ไม่ดี จึงทำให้ไสยศาสตร์ถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ไร้สาระ อย่างไรก็ตามเราก็ไม่ควรจะลบหลู่ในสิ่งที่เรามองไม่เห็นด้วยเช่นกัน หากมันเป็นไสยศาสตร์ในเรื่องที่ดี เราก็ควรจะรับรู้ไว้และใช้วิจารณญาณของตัวเองเป็นคนตัดสินว่ามันเป็นเรื่องที่เราควรต้องนับถือหรือปฏิบัติตามหรือไม่???

    ตอบลบ
  20. ไสยศาสตร์เป็นอะไรที่น่าค้นหาและลึกลับ มันอาจจะเป็นความจริงในบางส่วนก็ได้ซึ่งเราก็ไม่สามารถที่จะพิสูจน์มันได้ แต่มันก็ทำให้คนบางกลุ่มหลงใหลและในบางกลุ่มก็เข้าข่ายงมงายเลนทีเดียว แต่สำหรับเด็กวัยรุ่นแล้วเป็นส่วนน้อยที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เพราะวัยรุ่นมักจะมีกิจกรรมหลายๆอย่างให้ทำ แต่สำหรับคนที่เชื่อในเรื่องนี้ในเมื่อมันทำให้สบายใจและมีความสุข แล้วก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดที่จะมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้านำไปใช้ในเรื่องที่ดีก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่คนบางกลุ่มกลับใช้เรื่องเหล่านี้ไปในทางที่ผิดและสร้างความเดือดร้นให้คนอื่นมันก็เป็ฌนสิ่งที่ไม่ดี แต่สำหรับดิฉันแล้วเชื่อ50/50 เพราะมันเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็นและไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่บางครั้งการเชื่อเรื่องพวกนี้และทำตามมันก็ทำให้ดิฉันสบายใจขึ้น

    ตอบลบ
  21. ดิฉันเชื่อค่ะเพราะคนไทยกับไสยศาสตร์เป็นของคู่กันค่ะไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนๆมันก็อยู่คู่กับบุคคลแทบทุกคนและในบางครั้งการได้ศรัทธากับอะไรบางอย่าง ก็ทำให้คนเราสบายใจขึ้นได้และบางทีการตั้งความหวังกับการเสี่ยงโชค ก็ทำให้สบายใจขึ้นเช่นกันนะค่ะ
    ดิฉันก็มีเรื่องไสยศาสตร์เคยได้ยินมาเล่าให้เพื่อนๆฟังนะค่ะแค่อ่านดูนะค่ะไม่ต้องทำตาม
    มีเรื่องของการถอดวิญญาณเพื่อออกจากร่างและคุณจะไปได้ทุกที่ๆต้ องการ
    1.ทำหลังเที่ยงคืนเท่านั้น
    2.จุด ธูปไว้หัวนอน3ดอก
    3.นอนหลับตาแล้วตั้งสมาธิให้ ดี
    4.นึกถึงที่ๆเราจะไปเป็นอันดับแรก
    5.กลั้น หายใจ10วินาที
    6.จาดนั้นคุณก้อจะไปในที่ที่คุณต้อง การ
    7.เมื่อคุณรูสึกว่ากลิ่นธูปเริ่มหายไปให้มองหาแสงสีขาวแล้ว เดิ นเข้าไป
    8.ถ้าคุณกลับไปไม่ทันคุณจะกลับไปไม่ได้อีก เลย
    9.ถ้าทำเกิน2ครั้งอายุของคุณจะสั้นครั้งละไป99 วัน
    “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่”

    ตอบลบ
  22. ความเชื่อทางไสยศาสตร์เป็นเรื่องความเชื่อส่วนบุคคลที่มีมาช้านาน อาจเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนที่มีปัญหาที่ไม่สามารถหาทางออกได้ด้วยตัวเองใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจหรือทำให้ตนเองคิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดขึ้นโดยสิ่ง ๆ หนึ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้โดยคนทั่วไป ซึ่งหลายคนถกเถียงกันว่าไสยศาสตร์มีความเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด คนที่เคยมีประสบการณ์ก็จะตอบว่าเชื่อได้อย่างเช่นถูกหมอดู หรือคนทรงเจ้าทักว่าจะมีเคราะห์หรือจะเจอสิ่งร้าย ๆ ก็จะเกิดความวิตกกังวล นำไปสู่การทำพิธีต่าง ๆตามที่หมอดูนั้นแนะนำว่าจะทำให้หลุดพ้นจากเคราะห์กรรมนั้นได้ แต่หากคนที่ไม่เชื่อหรือไม่เคยมีประสบการณ์ก็จะบอกว่าไร้สาระ งมงาย เป็นต้น ซึ่งหากจะให้พิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์บางครั้งอาจจะไม่ได้คำตอบตามที่ต้องการเพราะไสยศาสตร์และวิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่มักจะขัดแย้งกันเสมอ
    แต่สำหรับดิฉันคิดว่าความเป็นไปได้น่าจะอยู่ที่ 50-50 คือไม่ถึงกับงมงายแต่ก็ไม่ลบหลู่

    ตอบลบ
  23. ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ได้ แต่ถ้าตามความคิดเห็นของดิฉันแล้วดิฉันคิดว่าคนในสมัยก่อนคิดขึ้นมาเพื่อไม่ให้เราทำอะไรที่มันผิดประเพณี หรือว่าเป็นสิ่งไม่เหมาะไม่ควรเท่านั้น เช่น การนั่งขวางประตูบ้าน แต่ถ้าตามความเป็นจริงแล้วก็น่าจะเป็นเพราะว่าเกะกะขวางทางคนเดินมากกว่าที่จะมีเหตุผลอื่นมาอ้าง แต่เรื่องความเชื่อเหล่านี้ก็มีบางความเชื่อที่เราน่าจะถือปฏิบัติเพราะเป็นสิ่งที่ดี แต่สำหรับบางสิ่งบางอย่างเราก็ควรจะใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจด้วย

    ตอบลบ
  24. ในเรื่องของสิ่งที่มองไม่เห็น(ไสยศาสตร์ )มีการพยายามจะพิสูจน์ผลทางวิทยาศาสตร์ และหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับไสยศาสตร์(ผี วิญญาณ)ในมุมมองของวัยรุ่นยุคใหม่ต้องขอบอกว่าเป็นความเชื่อส่วนตัว จะบอกว่าไม่เชื่อเลยก็เป็นไปไม่ได้เพราะบางครั้งไปดูดวงยังเชื่อดวงเลยทั้งๆที่มองไม่เห็น หรืออาจเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเรื่องผี วิญญาณไสยศาสตร์พวกนี้ ก็เชื่อนะ แต่ก็เชื่ออย่างมีสติ ไม่ได้เชื่อแบบงมงายไปซักทุกเรื่อง สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นที่พึงทางจิตใจมากกว่า แต่ว่าคนไทยถือว่าเชื่อเรื่องเหล่านี้เป็นจำนวนไม่น้อย และยังมีอีกจำนวนมากที่เชื่อถึงขนาดงมงายมากๆ เพราะยอมเสียเงินให้กับกลุ่มที่ชอบโฉยโอกาสหากินบนความเชื่อของผู้อื่น
    เคยดูพิธีกรรมต่างๆที่ อ้างว่ามีเทพเข้ามาสามารถพูดคุยได้ หรือสามารถถอดจิตไปหาคนที่ตายไปแล้วก็เชื่อนะแต่เชื่ออย่างมีสติควบคู่กับเหตุผล จะอย่างไรก็แล้วแต่ก็ขอให้ผู้ที่เข้ามาดูกระทู้นี้ได้ใช้วิจารณญาณในการเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น และใช้สติในการดำเนินชีวิต ถ้ารู้สึกไม่ดีขอแนะนำว่าสวดมนต์ นั่งสาธิตทำจิตใจให้สงบแล้วจะเป็นสุข

    ตอบลบ
  25. ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์เป็นความเชื่อส่วนบุคคล บังคับกันไม่ได้ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ไม่มีคำบรรยายแล้วแต่ว่าใครจะเชื่อขึ้นอยู่กับวิจารณ์ญาณของบุคคลนั้น แต่มองอีกแง่มุมนึงก็มีส่วนที่ทำให้น่าเชื่อถือ เช่น ในกรณ๊ที่พบตะปูสามถึงสี่แท่งอยู่ในท้องของพระรูปหนึ่ง พบถึงสามสี่ครั้งที่เกิดขึ้นในคน ๆ เดียวกัน ซึ่งถ้าไม่เกิดจากการกินตะปูเอง แล้วก็คงแปลกว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่ไสยศาสตร์ แต่ก็คงมีคนอีกส่วนมากที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้ แต่ในการกลับกันก็คงมีคนอีกไม่น้อยที่เชื่อในเรื่องนี้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับจิตใต้สำนึกของคนเหล่านั้นบวกกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตามถึงจะไม่เชื่อในเรื่องไสยศาสตร์แต่ก็ไม่ควรลบหลู่ในเรื่องนี้นะ

    ตอบลบ
  26. ไสยศาสตร์” ถือว่าเป็นศาสตร์ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยในบรรดาศาสตร์ทั้งหลาย เป็นสิ่งที่มีความเป็นมาที่ยาวนานที่สุดศาสตร์หนึ่ง
    ความเป็นมาของความรู้สายนี้นั้น ยังเป็นที่ถกเถียงกันมาตลอดว่า เป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือ หรือเป็นสิ่งที่หลอกลวง นำไปสู่ความงมงาย ความชัดเจนของศาสตร์แขนงนี้ในสังคมไทย ซึ่งเป็นสังคมที่วิทยาการสมัยใหม่กำลังเจริญรุ่งเรือง “ไสยศาสตร์” ถูกมองว่าเป็นรากเหง้าของความหลงงมงาย อันทำให้ประชาชนหลงเชื่อในสิ่งที่ไร้เหตุผลแต่ในความคิดของข้าพเจ้า “ไสยศาสตร์”อาจจะจำเป็นในชีวิตประจำวันของมนุษย์และในจังหวัดของข้าพเจ้าก็มีความเชื่อในเรื่องของไสยศาสตร์ด้วย

    ตอบลบ
  27. ไสยศาสตร์เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นแต่ไม่ใช่สิ่งที่งมงาย แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล ที่จะเชื่อหรือไม่ แต่สำหรับดิฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ยากแต่ก็เป็นเรื่องจริงในบางเรื่องที่เราได้พบด้วยตัวเอง ปัจจุบันยิ่งตอนสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้มิจฉาชีพที่หลอกเอาเงินชาวบ้านที่เดือดร้อน เช่น เจ้าทรง ที่อ้างตัวว่าเป็นเทพศักดิ์สิทธ์ที่น่าเคารพนับถือหลอกเอาเงินชาวบ้านไปมาก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเค้ากำลังมีเรื่องเดือดร้อนใจแต่ยังทำได้ลง หรือก็หลอกว่ามีเคราะห์ให้ไปทำพิธีสะเดาะเคราะห์ที่ห้องหากวัยรุ่นที่หลงเชื่อก็ย่อมตกเป็นเหยื่อพวกมิจฉาชีพได้ง่ายด้วยการข่มขืนบางรายอาจจะถ่ายคลิปวิดิโอไว้คอยรีดไถเอาเงินก็ได้ ดังนั้น เราควรพิจารณาให้ดีหากเกิดปัญหาต้องใช้สติคิดไตร่ตรองดูให้ดีแล้วแก้ปัญหาที่ต้นเหตุไม่ใช่แก้ที่ปลายเหตุ

    ตอบลบ
  28. ไสยศาสตร์ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถมองเห็นได้แต่บางครั้งมันกลับทำให้เรารู้สึกและสัมผัสได้ ผมก็คนหนึ่งที่เชื่อในเรื่องนี้ เพราะบางครั้งผมคิดว่าผมเคยเจอมาด้วย และหลายๆคนก็เห็นด้วยกับผม(แต่ไม่ถึงกับว่างมงายไปทุกเรื่องนะคับ) สำหรับคนที่ไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่นะคับ เพราะคุณยิ่งท้าทายคุณยิ่งจะเผชิญหน้ากับมัน แต่ผู้คนในสมัยก่อนมันจะเชื่อถือเรื่องภูตผีวิญญาณ หากมีคนในครอบครัวล้มป่วยก็มักจะไปถามเจ้าทรง เจ้าพ่อ และแก้บนผี ฝากผีฝากไข้ไว้ให้คนในครอบครัวมีความสุขกายสบายใจ ดังนั้นไสยศาสตร์มีความเกี่ยวข้องกับคนในสมัยอดีตและปัจจุบัน

    ตอบลบ
  29. คนไทยกับไสยศาสตร์เป็นของคู่กันมาแต่ไหนแต่ไรมาแล้วคนไทยชอบไปดูหมอดูเพื่อเป็นที่พึ่งทางใจในยามที่ทุกข์ใจแต่จะเชื่อมากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน ซึ่งในปัจจุบันวัยรุ่นหนุ่มสาวนิยมพากันไปดูหมอกันเป็นจำนวนมากซึ่งตัวดิฉันคิดว่าไม่ชอบและไม่เห็นด้วยที่ผู้คนพากันไปดูหมอดูกันเพราะไม่มีความน่าเชื่อถือเสียเงินไปโดยสูญเปล่าบางคนเสียเงินไปเป็นหมื่นเป็นแสนเพราะเชื่อคำหมอดูที่ทักมา ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดที่จะเป็นที่พึ่งทางใจได้ก็คือ การทำบุญ เข้าวัด จะทำให้จิตใจสงบสุข แถมยังได้บุญกลับมาอีกด้วย

    ตอบลบ
  30. ในฐานะที่เป็นคนรุ่นใหม่ มองเห็นว่าในเรื่องของไสยศาสตร์เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ขึ้นอยู่ที่ว่าจะเชื่อมากหรือเชื่อน้อย เพราะไสยศาสตร์เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้และยังเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ว่ามีความจริงเท็จแน่นอน ขนาดไหน ดังนั้นการที่คนเราจะเชื่อหรือไม่เชื่อ บางครั้งก็ไม่ควรไปลบหลู่ ซึ่งในปัจจุบันก็ยังมีบุคคลที่เชื่อในเรื่องของไสยศาสตร์มากอยู่เหมือนกัน เหตุที่เชื่อก็เพราะนับถือ และเคารพ ซึ่งในตัวของดิฉันเองก็ยังเชื่ออยู่ การที่เชื่อเพราะทางบ้านก็เชื่อ ในบางเรื่องเราไม่จำเป็นต้องเชื่อแต่บางครั้งก็ต้องเชื่อถ้าเจอเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้งกับตัวเราเอง ดังนั้นคนรุ่นใหม่ เชื่อได้แต่ก็ไม่ควร งมงายและควรมีเหตุ

    ตอบลบ
  31. ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์
    เป็นศาสตร์ที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ลบหลู่ สรุปคือ ไม่เชื่อแต่ก็ไม่ได้ลบหลู่ บุคคลหรือศาสตร์ที่อ้างตัวว่า เจ๋ง เพราะทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกันหมด แต่ทุกคนต่างได้ด้วยความเพียร ฝึกฝน และเป็นคนคิดดี ทำดี ผลก็จะดี ศาสตร์ไหนก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ทุกอย่างอยู่ที่การกระทำของตนเอง

    ตอบลบ
  32. ..........ไสยศาสตร์กับความเชื่อ........
    ความเชื่อ เป็นสิ่งที่อยู่กับมนุษย์มานานแสนนาน บางคนพึ่งไสยศาสตร์ในการดำรงชีวิต แต่อีกด้านของคนบางคนกลับมองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ อะไรคือความจริงในตัวของไสยศาสตร์ มีจริงมั้ยบนโลกใบนี้ ผู้ที่จะให้คำตอบที่ถูกทีสุดคือใคร ในส่วนตัวคิดว่า เรื่องของไสยศาสตร์ เป็นเรื่องที่มนุษย์มีขึ้นเพื่อให้กำลังใจตัวเอง ในการจัดการกับชีวิตที่ยุ่งเหยิงของตนเอง เพราะ เท่าที่ดูแล้ว ไสยศาสตร์ ไม่ได้ทำให้ใครรวยขึ้น เป็นคนดีมากขึ้น สังคมสงบมากขึ้น แต่กลับเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คน เห็นแก่ตัวมากขึ้น เช่น การทำเสน่ห์ ก็ในเมื่อเค้าไม่ได้รักในตัวเรา ยังจะไปใช้เวทย์มนต์ต่างๆไปทำให้เค้ารักหลงอีก เฮ้อมนุษย์ เห็นแก่ตัวชัดๆ การที่ไสยศาสตร์มีขึ้น บนโลกใบนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์อ่อนแอมากขึ้น ไม่สามารถยอมรับกับความเป็นจริงได้มากขึ้น เพราะ พวกเค้าจะคิดว่า ไม่สิ เค้าต้องกลับมา ไม่สิฉันจะต้องได้ทุกอย่าง แล้วก็ยอมทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ตนได้ปรารถนา อันนี้ก็สุดแล้วแต่ใครจะลองคิดดู เพราะมันเป็นเรื่องความเชื่อของแต่ละคน

    ตอบลบ
  33. ดิฉันเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง (สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือสิ่งที่ดีงามมีศีลธรรมและคอยปกปักรักษา หรือเป็นที่พึ่งทางใจให้กับคนดีมีศีลธรรม) และดิฉันเชื่อในกฎแห่กรรม เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ผลแห่งการกระทำของใครย่อมได้ผลนั้นตอบแทน แต่ดิฉันไม่เชื่อว่าไสยศาสตร์มีจริง ไม่เชื่อในเรื่องของการเล่นของ หรือการเล่นไสยศาสตร์ เพื่อให้ได้ในสิ่งที่เราต้องการ เช่นอยากให้คนมารักเรา หรืออยากให้ใครมีอันเป็นไป ก็ไปทำไสยศาสตร์ให้กับคนคนนั้น ดิฉันเชื่อว่า ไม่มีใครสามารถมากำหนดชีวิตของเราได้ ไม่มีใครมากำหนดเราได้ว่าให้ชีวิตเราเป็นไปอย่างนั้นอย่างนี้ ดีหรือไม่ดี หรือไม่มีใครกำหนดได้ว่าให้เราตายภายใน 3 วัน 7 วัน ชีวิตเรา เราเป็นคนกำหนดตัวเราเอง ใครทำสิ่งใดย่อมได้รับสิ่งนั้นตอบแทน เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดจากการกระทำและบุญกุศลหรือเวรกรรมที่ตัวเราสร้างขึ้นมา แต่ก็ไม่เคยคิดลบหลู่สิ่งใดในโลกนี้ และไม่ลบหลู่ความคิดของใคร

    ตอบลบ
  34. ไสยศาสตร์ เป็นความเชื่อส่วนบุคลคลที่มีมานมนาน คือสิ่งที่คอยปกปักรักษาและเป็นที่พึ่งทางใจให้กับมนุษย์ แต่ก็เป็นศาสตร์ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ มันเป็นความเชื่อส่วนบุคคลที่แต่ละคนจะคิด แต่ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ เพราะว่าของอย่างนี้ขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรมของมนุษย์แต่ละคนได้ทำเอาไว้ บางคนเชื่อก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ก็อย่างมงายให้มากนัก ควรทำบุญทำทาน เข้าวัดเข้าวา หมั่นสวดมนต์เยอะๆจะดีกว่า แถมไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ได้บุญกุศล จิตใจสงบอีกต่างหาก

    ตอบลบ
  35. ไสยศาสตร์ คือเป็นวิชาเกี่ยวกับเวทมนตร์ คาถา และ เลขยันต์ ประกอบกับการใช้อำนาจสมาธิจิต การสาธยายเวทมนตร์คาถา การภาวนา และการปลุกเสก แต่สำหรับความคิดของดิฉันคิดว่า มันเป็นความเชื่อของแต่ละบุคคลซึ่งบุคคลบางกลุ่มก็ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ บางกลุ่มก็จะเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ซึ่งสำหรับคนไทยแล้วเป็นสังคมที่ถูกปลูกฝังให้อยู่กับการไปวัด ทำบุญ เชื่อเรื่องบาป บุญ รวมไปถึงการเชื่อในเรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงเป็นเรื่องยากที่จะขจัดความเป็นอยู่และความเชื่อของคนไทยที่มีมาตั้งแต่โบราณแต่เรื่องนี้เสำหรับคนรุ่นใหม่นี้เชื่อ เชื่อได้แต่อย่างมงายกับเรื่องไสยศาสตร์มากจนเกินไป ที่ทำให้ตนเองกับคนอื่นเดือดร้อน

    ตอบลบ
  36. นิพพา อินต๊ะโม
    เชื่อ เพราะ ไสยศาสตร์เป็นความเชื่อที่มีมานานแล้ว อีกทั้งยังเป็นสิ่งลี้ลับบางอย่างก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้จนถึงปัจจุบันนี้แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ที่พยายามค้นหาความจริงก็ไม่อาจพิสูจน์ได้ ดิฉันจึงคิดว่าความเชื่อในไสยศาสตร์ถึงแม้จะเป็นความเชื่อในสิ่งที่คนว่างมงายก็ตาม แต่ถ้าเชื่อแล้วทำให้ชีวตเรามีความสุขและไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนการดำรงชีวิตก็จะราบรื่นและมีความสูข

    ตอบลบ