วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

คิดดี ทำดี ได้ดี จริงหรือเปล่า?

สุภาษิตโบราณ "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" "คิดดี ทำดี แล้วจะได้ดี"
ท่านคิดว่า การดำเนินชีวิตในปัจจุบัน จะเป็นจริงตามสุภาษิตโบราณนี้หรือเปล่า?

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

คุณคิดว่า Blog จะช่วยพัฒนาศักยภาพเด็กไทยได้อย่างไร?

ปัจจุบันเด็กไทยมีการนำเอา Blog เข้ามาใช้ทั้งการบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง ของเพื่อน ของครอบครัว และเพื่อการศึกษา รวมทั้งเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันภายในกลุ่ม

ซึ่งผลของการเล่น Blog น่าจะช่วยพัฒนาศักยภาพของเด็กไทยในด้านต่างๆ ได้ดีขึ้น

Internet Marketing

ให้เลือก Web Site ที่มีการขายสินค้าเหมือนกันมา 2 Web และทำการวิเคราะห์ดังนี้
  1. จุดแข็งและจุดอ่อนของ Web
  2. กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
  3. จุดขายของ Web

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552

คิดให้ได้อย่างนี้ซิ.. ถึงจะเรียกว่าคิดบวก

เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ
เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ
เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต
เวลาเจอนายจอมละเมียด ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (perfectionist)
เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ
เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย
เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต
เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี
เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง
เวลาเจอลูกหัวดื้อ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสทองของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง
เวลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสทองของการจะได้พบคนที่ใช่ใหม่อีกครั้ง
เวลาเจอคนที่ใช่แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง
เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนัตตาของชีวิตและสรรพสิ่ง
เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม
เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์
เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด
เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบททดสอบที่ว่า ‘มารไม่มี บารมีไม่เกิด‘
เวลาเจอวิกฤติ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม ‘ในวิกฤติย่อมมีโอกาส‘
เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต
เวลาเจอความตาย ให้บอกตัวเองว่า นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์.

(หมายเหตุ : เจ้าของกระทู้ต้องขอโทษเป็นอย่างสูงที่จำไม่ได้ว่าบทความนี้เป็นของผู้ใด
อย่างไรก็ตามต้องขอขอบคุณเจ้าของบทความมา ณ ที่นี้)

ช้างไทย VS หมีแพนด้า อะไรสำคัญกว่ากัน?

ขณะนี้คนไทยกำลังอยู่ในกระแสของ Panda Fever กันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการประกวดตั้งชื่อให้กับลูกหมีแพนด้า ที่มีการส่งไปรษณียบัตรเข้าร่วมตั้งชื่อกันอย่างล้นหลาม และคงจะมีกิจกรรมอื่นๆ ตามมาอีกอย่างต่อเนื่อง ตราบใดที่คนไทยยังให้ความสนใจกับกระแส Panda Fever.. ..แล้วจะมีคนไทยซักกี่คนกันนะ ที่สนใจว่า “พังกำไล.. ช้างไทยที่บาดเจ็บและ..ขาหัก จะเป็นอย่างไร? จะหายเมื่อไหร่? หรือจะมีส่วนช่วยเหลือได้อย่างไรบ้าง?” แล้วท่านหล่ะ..ในฐานะที่เป็นคนไทยด้วยกัน ท่านคิดว่า “ช้างไทย กับ หมีแพนด้า อะไรสำคัญกว่ากัน?”


แถมท้ายด้วย บทกวีที่อ่านแล้ว…โดนใจเต็มๆ (ขอบคุณ ดร.กัญญพัสวีย์ กล่อมธงเจริญ ที่ส่ง mail บทกวีนี้มาให้)


แพนด้า แพนด้า พ่องจายยยยยยยยยยยย

เกิดมาเป็นสัตว์เลือดอุ่น …… บ้านอยู่ทางโน้น จีนแผ่นดินใหญ่

เติบโตเพราะกินไผ่ตง …… เขาจับมาส่ง ไม่ได้ผลักไส

มาอยู่เชียงใหม่กับผัว ……..อยู่กัน 2 ตัว มีลูกไม่ทันใช้

ก็มันไม่มีอารมณ์ ………. เสพสมบ่มิสม จับนมจับไข่

ให้กร๊วบกันโชว์คนอื่น …..เห็นว่าเราหื่น กันนักใช่ไหม

บอกแล้วไม่มีอารมณ์ ……..ผู้คนชื่นชม สมเป็น นิสัย

เห็นทีต้องผสมเทียม…….ถ่ายผ่านเพนเที่ยม โพสต์โชว์เว๊บไซด์

ได้ลูกออกมา 1 ตัว…..ทั้งที่ไม่มีผัว หนูกลัวเป็นไข้

ความสาวยังบริสุทธิ์ ……. จะเอาหน้ามุดไปไว้ที่ไหน

1 อาทิตย์ ลูกโตหูดำ ……. มันไม่มีหะหรำ และไม่มีไข่

เป็นตัวเมีย ไม่มีชื่อ …….หน้าตาซื่อ น่ารักกว่าไก่

อยากมีบ้าน 60 ล้าน (บาท) ….. คนไทยประทานให้หนูได้ไหม

สื่อช่วยประโคมกันหน่อย…..ออกข่าวบ่อยๆ เด็กๆ ดูได้

แต่หนูสงสารพี่ช้าง ……ที่เขาอ้างว้าง ไม่ค่อยมีใคร

หนูเกิดมาจากเมืองจีน ……อยากกลับคืนถิ่น ส่งหนูได้ไหม

พี่ช้างมากมายหลายเชือก……ต้องนอนเข้าเฝือก รอคนเยี่ยมไข้

บ้านหนู ไม่ต้องสร้างหรอก …. หนูมันหมีนอก ไม่ใช่หมีไทย

หนูมีบ้านจริงของหนู …… พวกคุณมองดู ว่าจริงใช่ไหม

ใครๆก็รักบ้านเกิด…..ส่งหนูกลับเถิด นะจ๊ะคนไทย

อยากให้นำเงินทั้งหมด…..เงินแห้งเงินสดให้พังกำไล

พี่เขาต้องการกว่าหนู …… อยากให้คิดดู ถ้าคิดกันได้

พี่เขาช่วยคนไทยมานาน …… ปกป้องเรือนบ้าน ให้อยู่อาศัย

ยามรบพี่เขาไม่หวั่น …….ยามสงบ พี่เขานั้น ช่วยแบกต้นไม้

เขาอยู่กับคุณตลอด……มาแต่อ้อนแต่ออก จริงไหมคนไทย

สำนึกรักบ้านเกิดบ้าง….. อย่าให้อายช้างอายหมีที่ไหน

หวังว่าคงจะยินดี…..หลินฮุ่ยวอนพี่ช่วยเหลือช้างไทย

วอนน้องลุงป้าอาน้า ขอเหอะพี่ขา แพนด้าพ่องจายยยยยยยย


งดเหล้าเข้าพรรษา.. คุณคิดว่าทำได้จริงหรือ?

ทุกๆ ปี ช่วงเทศกาลเข้าพรรษา กิจกรรมหนึ่งที่มักจะเห็นรณรงค์กันเป็นประจำ นั่นก็คือ “การงดเหล้าตลอดช่วงเวลาเข้าพรรษา” ซึ่งบางคนก็งดเหล้าได้ บางคนก็งดได้บ้างไม่ได้บ้าง บางคนก็บอกว่า “ดื่มตลอดช่วงเข้าพรรษา และงดดื่มหลังจากออกพรรษาจะดีกว่า”

เป็นเรื่องนานาจิตตังของมนุษย์แต่ละคน แล้วคุณหล่ะมีความคิดเห็นเรื่องนี้อย่างไร?

คิดอย่างไรกับการแต่งกายของนักศึกษาในปัจจุบัน?

นักศึกษาวิ่งตามแฟชั่นเหตุแต่งกายรัดติ้ว ผ่าสูง
(ที่มา :
http://women.thaiza.com/detail_39460.html)

ผอ.ศูนย์คุณธรรมชี้ชุดนักศึกษาถูกระเบียบมีน้อย ทั้งที่เด็กบางคนอาจจะอยากแต่งกายถูกต้องแต่หาซื้อไม่ได้ ขณะที่บางส่วนวิ่งตามแฟชั่นกลัวถูกเพื่อนล้อ ระบุทางออกที่เหมาะสมร้านค้าต้องตัดเย็บเครื่องแบบถูกระเบียบ และ ศธ.ต้องเข้มงวดชุด นศ.ยิ่งขึ้น

นางสาวนราทิพย์ พุ่มทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม (ศูนย์คุณธรรม) เปิดเผยว่า การที่ทุกฝ่ายให้ความสำคัญกับการจัดระเบียบการแต่งกายชุดนักศึกษาที่รัดรูปไม่เหมาะสมนั้น ถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่แสดงให้เห็นว่าสังคมต้องการความมีระเบียบวินัย และความถูกต้อง การที่คนในสังคมร่วมกันตรวจสอบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และช่วยกันหาแนวทางแก้ไขย่อมเป็นสิ่งที่ดี โดยเฉพาะชุดนักศึกษาที่ถือเป็นเครื่องหมายแห่งเกียรติ สัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจและความสำเร็จ ดังนั้น แต่ละสถาบันย่อมมีกฎระเบียบเรื่องการแต่งกายไว้เป็นกรอบปฏิบัติเพื่อให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียวในหมู่นักศึกษา
ผอ.ศูนย์คุณธรรม กล่าวว่า ยอมรับว่าปัจจุบันแฟชั่นมีอิทธิพลต่อการออกแบบชุดนักศึกษา นักศึกษาบางคนอาจอยากแต่งกายให้ถูกกฎระเบียบ แต่จำเป็นต้องซื้อมาใส่เพราะแบบเสื้อที่ถูกระเบียบไม่มีให้เลือกซื้อมากนักตามท้องตลาดทั่วไป รวมถึงต้องวิ่งตามแฟชั่นเพราะกลัวถูกเพื่อนๆ ล้อ ทางออกที่เหมาะสมคือทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น ร้านค้าก็ควรออกแบบตัดเย็บชุดนักศึกษาที่ถูกกฎระเบียบมาจำหน่าย ด้านกระทรวงศึกษาธิการ และสถาบันการศึกษาก็ต้องเข้มงวดเรื่องการแต่งกายมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความปลอดภัยของนักศึกษาเอง
“การแต่งกายชุดรัดรูป หรือการสวมกระโปรงสั้น มีผลโดยตรงต่อความรู้สึกนึกคิดของผู้ที่พบเห็น และส่งผลโดยตรงต่อคุณธรรมและจริยธรรมในสังคม เป็นเรื่องล่อแหลมและอาจเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้ที่มีความคิดไม่ดีไปทำร้ายผู้อื่น อย่างที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยๆ หากปล่อยไว้ไม่ช่วยกันแก้ไขให้เป็นรูปธรรม ก็จะส่งผลกระทบด้านวัฒนธรรมด้วย” นส.นราทิพย์ กล่าว

ฤา “เสื้อติ้ว – เอวต่ำ” จะไม่มีทางแก้ ในวงการแฟชั่นนักศึกษาของวัยรุ่นไทยวันนี้
(ที่มา : http://www.sci.nu.ac.th/websci/project/sciweek2550/website/P/01/worong.htm)


เรื่องเสื้อติ้วกลับมาเป็นเรื่องฮือฮาอีกครั้งหนึ่งเมื่อดร.จิตรา ดุษฎีเมธา ประธานโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ออกมาระบุว่าการที่เด็กวัยรุ่นนิยมใส่เสื้อผ้ารัดรูป เป็นการสร้างภาพเพื่อให้ตัวเองดูเซ็กซี่ สวย เป็นที่ดึงดูดของเพศตรงข้าม เพื่อให้ตัวเองเป็นที่น่าสนใจมากขึ้น อาจจะนำไปสู่การได้โอกาสความก้าวหน้าในชีวิต โดยเด็กและเยาวชนสมัยนี้อยากเข้าสู่วงการบันเทิง เดินแบบ นักแสดง นักร้อง พรีเซ็นเตอร์โฆษณาต่างๆ

ต้องยอมรับความเป็นจริงที่ว่ากรณีเสื้อแฟชั่นรัดรูปโชว์เรือนร่างนั้นเป็นกระแฟชั่นที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาหลายปีทีเดียว และ “ไลฟ์ ออน แคมปัส” เคยสอบถามถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาเรื่องเสื้อติ้ว กระโปรงเอวต่ำมาแล้วเมื่อปีก่อน จึงขออนุญาตนำกลับมาให้อ่านกันอีกครั้ง
ถูกจับตามองเป็นอย่างมากกับแฟชั่นชุดนิสิตนักศึกษาสมัยนี้ที่ดึงเอาแฟชั่นเสื้อเอวลอย กางเกงเอวต่ำมาผสมผสานกับเครื่องแบบชุดนิสิตนักศึกษาอันทรงคุณค่าแบบเดิมๆ จนออกมาเป็นชุดนักศึกษาแบบเสื้อเข้ารูป กระโปรงเอวต่ำ และได้รับความนิยมจากบรรดานิสิตนักศึกษาสาวทั้งหลายเลือกซื้อหามาสวมใส่กัน
กระแสดังกล่าวทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในเมืองไทยหันมาให้ความสนใจกับแฟชั่นชุดนิสิตนักศึกษามากขึ้น พร้อมๆ กับพยายามหาทางแก้ไขแฟชั่นชุดนิสิตนักศึกษาที่ดูไม่เหมาะสม ด้วยวิธีการเรียกมาตักเตือน ชี้ให้เห็นถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นจากชุดนิสิตนักศึกษาที่ล่อแหลม รวมทั้งการรณรงค์ด้วยวิธีการต่างๆ
“หนูว่าเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะที่คนรุ่นหนูจะเชื่อตามที่มีการรณรงค์ เพราะ คนรุ่นหนูสมัยนี้ถ้าอยากจะใส่ก็ใส่เลย ต่อให้รณรงค์อย่างไรก็ไม่สนใจหรอกค่ะการรณรงค์ช่วยได้เพียงแค่ทำให้รับรู้รับทราบถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น เท่านั้นเอง แต่ถามว่ามันจะช่วยทำให้คนที่เขาใส่หันมาใส่ชุดที่ดูสุภาพได้ไหม หนูว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะ ถึงอย่างไรเพื่อนๆ ในมหาวิทยาลัยก็ใส่แบบนี้กัน”
เป็นเสียงจาก “ฝ้าย วิจิตรา ทักษิณะมณี” นักศึกษาวัย 19 ปีจากมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิตให้ทัศนะ พร้อมทั้งแนะนำว่าการแก้ไขเรื่องชุดนิสิตนักศึกษาที่มองแล้วไม่เหมาะสมนั้นน่าจะไปแก้ที่ผู้ผลิตมากกว่าที่จะมาจัดการรณรงค์ เพราะ เวลาไปหาซื้อเจอแต่ที่เป็นกระโปรงเอวต่ำ เช่นเดียวกันกับฝ้ายสำหรับสาวร่างบาง “นิ – วรรณวิภา ชื่นสงวน” นิสิตจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒบอกนอกจากจะหาซื้อกระโปรงต่ำได้ง่ายแล้ว เรื่องของราคายังเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง
“กระโปรงแบบนี้ราคาไม่แพง ยิ่งถ้าเวลาไปซื้อหลายๆ ตัวก็ได้ลดราคาลงมาอีกแค่ร้อยกว่าบาทเท่านั้นเอง บางทีก็ฝากเพื่อนนี่ล่ะไปซื้อก็เพื่อนที่พักอยู่หอเดียวกันเนี่ยล่ะค่ะ ใครจะไปแถวนั้นถ้าไม่ไปด้วยก็ฝากกันซื้อได้ค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าจะใส่ไม่ได้ด้วย คือกระโปรงแบบนี้จะเหมือนๆ กันทั้งหมด”
“เมื่อก่อนยังมีเอวเดี๋ยวนี้ร้านขายเขาตัดเอวออกก็คือเป็นกระโปรงแบบเอวต่ำเลย ก็จะเผื่อไว้อีกประมาณ 1 นิ้วครึ่งถึง 2 นิ้วก็จะไม่ต่ำมากเกินไป อย่างปกติหนูยาว 23 นิ้วเวลาซื้อก็จะซื้อแบบ 24 นิ้วครึ่งไม่ก็ 25 นิ้วเผื่อถึงสะโพกน่ะค่ะมันจะได้ไม่สั้นเกินไปน่ะค่ะ ถ้ามียาวกว่านี้หนูก็จะซื้อใส่ค่ะ แต่มันไม่มีขาย ยาวสุดก็ นี่ล่ะประมาณ นี้ล่ะแต่ไม่ค่อยจะมีหรอก” “สมมติถ้าหนูใส่พอดีเอวไม่ให้เป็นเอวต่ำนะ กระโปรงก็จะสั้นขึ้นมาอีกใช่ไหม? ก็ใส่แบบที่ไม่สั้นแบบน่าเกลียด แล้วก็ต้องไม่เอวต่ำมากเกินไปด้วย”
ในขณะที่ “กิ๊ฟซี่ วนิดา เติมธนาภรณ์” นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ และเป็นหนึ่งในสมาชิกวงเกิร์ลลี่ เบอร์รี่ ซึ่งมีคอนเซปต์การแต่งตัวด้วยกางเกงเอวต่ำขาสั้น กระโปรงสั้นกล่าวว่าการแต่งกายบนเวทีเป็นเรื่องของการแสดงบนเวที แต่ถ้าเป็นชุดนักศึกษาแล้วเธอบอกขอแบบไม่เป็นแฟชั่นเกินไปนัก “โดยปกติแล้วกางเกงเอวต่ำที่ใส่บนเวทีเวลาแสดงจะไม่ต่ำมากถึงขนาดใต้สะดือจนเห็นร่องก้นอะไรอย่างนั้น คือมันอาจจะมีบ้างบางภาพที่อาจหลุดเพราะเป็นการโพสต์ถ่ายภาพแล้วดึงขอบกางเกงมันเลยดูต่ำ หรือเป็นตอนที่เผลอๆ แต่พอมาเรียนก็จะไม่ใส่แบบนั้น”

ภัยเสื้อ นศ.รัดติ้ว ส่งผลสมองไม่พัฒนา
(ที่มา : http://www.sci.nu.ac.th/websci/project/sciweek2550/website/P/01/worong.htm)


เตือนภัยนักศึกษาหญิงชอบใส่เสื้อนักศึกษารัดติ้ว นอกจากจะต้องโชว์หน้าอกตัวเองแล้ว ยังส่งผลถึงระบบหายใจ และจะนำไปสู่การเป็นโรคต่างๆ ที่สำคัญสมองจะพัฒนาได้ช้า
ดร.จิตรา ดุษฎีเมธา ประธานโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวว่า การที่เด็กวัยรุ่นนิยมใส่เสื้อผ้ารัดรูป โดยเฉพาะชุดนิสิต นักศึกษา โดยเลือกเสื้อที่มีขนาดเล็กมากๆ และต้องมี S หลายๆ ตัว ว่า เพื่อแสดงให้เห็นว่ารูปร่างของผู้สวมใส่เล็ก โดยบางคนอาจสวมใส่เสื้อผ้าที่มีขนาด SS (2 เอส) หรือ SSS (3 เอส) หรือ SSSS (4 เอส) หรือ SSSSS (5 เอส) เพื่อสร้างภาพให้ตัวเองดูเซ็กซี่ สวย เป็นที่ดึงดูดของเพศตรงข้าม และเป็นที่น่าสนใจมากขึ้น อาจจะนำไปสู่การได้โอกาสความก้าวหน้าในชีวิต
วัยรุ่นหรือเยาวชนผู้หญิงจะสนใจความสวยงาม รูปร่างหน้าตา ความเซ็กซี่ ขณะที่วัยรุ่นหรือเยาวชนชายจะให้ความสำคัญกับอำนาจ ตำแหน่ง เงินทอง จะเห็นว่าวัยรุ่นมักทำตามแบบสื่อ เห็นนางแบบ นักร้อง นักแสดง ซึ่งต้องผอม เมื่อเสพสื่อมากๆ ก็อยากผอม ไม่ยอมกิน และต้องใช้วิธีอดอาหาร เนื่องจากไม่อยากออกกำลังกาย ทั้งนี้ สื่อตามนิตยสาร หนังสือพิมพ์มีการโฆษณาลดความอ้วน ซึ่งต้องใช้เงิน เมื่อไม่มีเงินก็ต้องใช้วิธีสวมใส่เสื้อตัวเล็กๆ รัดๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องกินอาหาร หรือกินก็กินได้น้อย เสื้อที่รัดมากๆ ช่วงกระดุมจะมีรอยเปิดเป็นช่องทำให้เห็นร่องอกและเสื้อชั้นใน นิสิต นักศึกษาจำนวนไม่น้อยก็ตั้งใจสวมใส่เสื้อลักษณะนี้ เพราะต้องการโชว์เรือนร่าง มีการประกวดประชันรูปร่างกัน”
ดร.จิตรายังกล่าวด้วยว่า ชุดนิสิต นักศึกษาที่รัดมากๆ จะทำให้ผู้สวมใส่หายใจได้สั้นและตื้น บางคนไม่ยอมหายใจ แต่จะกลั้นไว้เป็นช่วงๆ แล้วค่อยหายใจครั้งเดียว จะเห็นว่าลมหายใจไม่สม่ำเสมอ ซึ่งลมหายใจถือเป็นชีวิตของทุกคน เป็นพื้นฐานของชีวิต เมื่อไหร่ที่เราไม่มีลมหายใจเราต้องตาย การหายใจตื้น สั้น ทำให้นำออกซิเจนไปสู่สมองและเซลล์ทั่วร่างกายได้ไม่ทั่วถึง จึงนำไปสู่ปัญหาทางร่างกาย ทำให้เหนื่อยง่าย วิงเวียน มึน สมองเบลอ เรียนหรือทำงานไม่ได้ดี ไม่มีสมาธิ โดยเฉพาะสมองไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร ซึ่งถ้าไม่ปรับเปลี่ยนวิธีการหายใจให้ยาวและลึก อาจจะนำไปสู่การเกิดโรคต่างๆ ได้เกือบทุกโรค
ทั้งนี้ การสวมเสื้อที่รัดแน่นมากๆ ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ เนื่องจากการสวมใส่เสื้อตัวเล็กทำให้กินอาหารได้น้อย หรือบางคนอาจจะไม่ยอมกินอาหาร ดังนั้น นิสิต นักศึกษาไม่ควรจะสวมเสื้อตัวเล็ก เพราะจะทำให้หายใจไม่สะดวก จะเกิดผลร้ายต่อร่างกายได้ อยากจะให้หันมาออกกำลังกาย และสร้างแนวคิดใหม่ คนสวยรูปร่างดีต้องเป็นคนที่มีสุขภาพดี แข็งแรง มีกล้ามเนื้อ มากกว่าจะเน้นกันที่ผอมเพียงอย่างเดียว

ผู้ชายคือช้างเท้าหน้า...ผู้หญิงคือช้างเท้าหลัง?

ในสมัยก่อน ผู้หญิงไทยมักจะถูกปลูกฝังหรือฝึกให้มีความเป็นกุลสตรี อยู่กับเหย้าเผ้ากับเรือน มีเสน่ห์ปลายจวัก ดูแลรักษาความสะอาดของบ้านเรือน โดยให้ผู้ชายเป็นผู้ที่มีบทบาทในการทำมาหากิน จึงมีการเปรียบเปรยว่า “ผู้ชายคือช้างเท้าหน้า ผู้หญิงคือช้างเท้าหลัง” แต่ปัจจุบัน ด้วยสภาพแวดล้อมรอบข้างทำให้ผู้ชายและผู้หญิงมีบทบาทที่เหมือนกันมากขึ้น ผู้หญิงเข้ามามีบทบาทในด้านต่างๆ มากขึ้น เช่น เป็น ส.ส. เป็นประธานบริษัท เป็นผู้จัดการบริษัท เป็นรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นอื่นๆ อีกมากมาย

เมื่อสถานะการณ์เปลี่ยนไปเช่นนี้ ท่านเห็นว่า สำนวน “ผู้ชายคือช้างเท้าหน้า ผู้หญิงคือช้างเท้าหลัง” ยังคงใช้ได้อยู่หรือเปล่า? หรือเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น?

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ลำไย.. ..ใครคือผู้กำหนดราคา?

ลำไย.. ..ใครคือผู้กำหนดราคา?

บทนำ

“ลำไย” เป็นผลไม้ที่ตลาดยังมีความต้องการอีกมาก ทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศขายได้ในระดับราคาที่น่าพอใจ สามารถส่งออกได้ทั้งในลักษณะลำไยสด ลำไยแช่แข็ง ลำไยกระป๋อง และลำไยอบแห้ง มีโอกาสทางการตลาดที่สดใส สามารถนำเงินตราเข้าประเทศได้ปีละหลายร้อยล้านบาท และมีแนวโน้มว่าปริมาณและมูลค่าการ ส่งออกเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งลักษณะเช่นนี้น่าจะทำให้เกษตรกรผู้ปลูกลำไยได้รับผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เกษตรกรที่ขายลำไยส่วนใหญ่จะตอบเป็นเสียง เดียวกันว่า “ลำไยของตัวเองขายได้ราคาที่ต่ำเกินไป” ทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นมาว่า “ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?”

ลักษณะการซื้อขายลำไย

ด้วยข้อสงสัยดังกล่าว ผู้เขียนจึงได้เดินทางไปเก็บข้อมูลเบื้องต้นที่จังหวัดลำพูน ซึ่งถือได้ว่าเป็นแหล่งปลูกลำไยที่สำคัญของประเทศ โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์และการสังเกตุ พบว่า เกษตรกรยังคงนิยมขายลำไยอยู่ 2 รูปแบบ คือ
1. ขายแบบเหมาสวน ซึ่งในอดีตมีการตกลงขายเหมาสวนเมื่อลำไยออกช่อดอก แต่ในปัจจุบันเนื่องจากความไม่แน่นอนของดินฟ้าอากาศและปริมาณผลผลิตที่ยากต่อการคาดคะเน ทำให้เกษตรกรและพ่อค้าคนกลางนิยมขายเหมาเมื่อลำไยออกผลเรียบร้อยแล้ว โดยส่วนใหญ่พ่อค้า คนกลางจะจ่ายเงินมัดจำไว้ก่อนประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งลักษณะการซื้อขายแบบนี้ทำให้เกิดความเสี่ยงทั้งเกษตรกรและพ่อค้าคนกลางที่เข้ามาซื้อ แต่เกษตรกรจะมีความเสี่ยงมากกว่าถ้าหากปีนั้นลำไยราคาไม่ดี พ่อค้าคนกลางเห็นว่าหากรับซื้อลำไยจากเกษตรกรไปก็จะทำให้ประสบกับปัญหาการขาดทุนได้ พ่อค้าคนกลางก็จะไม่มารับซื้อต่อโดยยอมเสียเงินมัดจำให้แก่เกษตรกรแทน ทำให้เกษตรกรต้องแบกรับภาระในการหาตลาดสำหรับขายลำไยในสภาวะที่ลำไยมีราคาตกต่ำ
2. เกษตรกรขายเอง ซึ่งเป็นวิธีการที่นิยมขายกันมากในปัจจุบัน โดยเกษตรกรอาจจะขายลำไยเองที่สวน หรือมีพ่อค้ามารับซื้อถึงสวน หรือนำไปวางขายที่ตลาด หรือนำไปขายที่จุดรับซื้อของพ่อค้าคนกลาง โดยเกษตรกรอาจจะขายแยกตามเกรดหรือขายคละก็ได้ จากการสังเกตุพบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่นิยมนำไปขายที่จุดรับซื้อของพ่อค้าคนกลาง เพราะมีความสะดวกและขายได้ในปริมาณที่มากกว่าเมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆ

ดังนั้นผู้เขียนจะขอนำเสนอถึงขั้นตอนการซื้อขายโดยการนำไปขายที่จุดรับซื้อของพ่อค้าคนกลาง ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านได้รับคำตอบว่า “เพราะเหตุใดเกษตรกรถึงไม่พอใจในราคาที่ได้รับ?”

ขั้นตอนการซื้อขายโดยการนำไปขายที่จุดรับซื้อของพ่อค้าคนกลาง
1. เริ่มแรกเกษตรกรจะต้องไปรับตะกร้าพลาสติกมาจากพ่อค้าคนกลางที่ตนเองต้องการจะขาย โดยเกษตรกรจะต้องจ่ายค่ามัดจำสำหรับตะกร้าที่รับมาด้วย ซึ่งค่ามัดจำของพ่อค้าคนกลางแต่ละรายอาจจะเท่ากันหรือไม่เท่ากันก็ได้
2. เมื่อเกษตรกรได้รับตะกร้าพลาสติกมาแล้ว ก็จะนำเอาลำไยที่เก็บเสร็จแล้วมาคัดเอาลูกที่เสียออกและแยกเกรดบรรจุลงในตะกร้า ซึ่งน้ำหนักของลำไยที่บรรจุจะมีน้ำหนักแตกต่างกันออกไปตามแต่ลักษณะตะกร้าของพ่อค้าคนกลางแต่ละราย เช่น ขนาดบรรจุ 12 กิโลกรัม แบ่งเป็นน้ำหนักของตะกร้า 1 กิโลกรัม และน้ำหนักลำไย 11 กิโลกรัม เป็นต้น
3. หลังจากที่เกษตรกรบรรจุลำไยใส่ตะกร้าเรียบร้อยแล้ว ก็จะนำลำไยไปขายยังจุดรับซื้อของพ่อค้าคนกลาง ซึ่งวิธีการขนส่งส่วนใหญ่นิยมขนส่งโดยใช้รถกระบะ 4 ล้อ เป็นที่น่าสังเกตุว่าเกษตรกรส่วนใหญ่จะนำไปขายในช่วงเย็นประมาณ 5 โมงเย็นเป็นต้นไป ทั้งนี้เนื่องจากเกษตรกรมักจะเก็บลำไยในตอนเช้าและตอนกลางวัน จากนั้นก็จะบรรจุลงตะกร้ากว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็เป็นเวลาเย็น ทำให้ในช่วงเวลาดังกล่าวมีเกษตรกรจำนวนมากที่รอขายลำไยตรงจุดรับซื้อของพ่อค้า
4. เมื่อไปถึงจุดรับซื้อของพ่อค้าคนกลางแล้ว เกษตรกรก็จะขนลำไยลงจากรถแล้ววางไว้ตามที่พ่อค้าคนกลางกำหนด จากนั้นก็ต้องรอคิวเพื่อให้พ่อค้าคนกลางมากำหนดราคารับซื้อลำไยของตนเอง
5. เมื่อถึงคิวของตนเองแล้ว พ่อค้าคนกลางจะเปิดดูลำไยในตะกร้าเพื่อที่จะบอกว่าลำไยในตะกร้าใบนั้นจะให้ราคากิโลกรัมละกี่บาท จุดนี้เองที่ทำให้ทราบว่าเพราะเหตุใดเกษตรกรถึงไม่พอใจในราคาที่ได้รับ เพราะการกำหนดราคาของพ่อค้าคนกลางอาศัยการดูด้วยสายตาและจับดูลำไยในตะกร้าแล้วก็บอกว่ากิโลกรัมละกี่บาท พ่อค้าคนกลางอาจจะเปิดดูทุกตะกร้าหรือเลือกสุ่มบางตะกร้าก็ได้ ถ้าพ่อค้าคนกลางเปิดดูทุกตะกร้าเกษตรกรก็อาจจะได้ขายในราคาที่แตกต่างกันในแต่ละตะกร้า หรือถ้าเป็นที่รู้จักคุ้นเคยกันพ่อค้าคนกลางก็อาจจะสุ่มเลือกเปิดบางตะกร้าแล้วกำหนดเป็นราคาสำหรับรับซื้อลำไยที่นำมาขายทั้งหมดก็ได้

จากการสังเกตุพบว่าอำนาจการตั้งราคาเบ็ดเสร็จอยู่ที่พ่อค้าคนกลาง บางครั้งลำไยใน 2 ตะกร้าที่เก็บมาจากต้นเดียวกันราคาที่ได้รับก็ไม่เท่ากัน เกษตรกรมีอำนาจในการต่อรองราคาที่น้อยมากหรือบางรายก็ไม่มีเลย พ่อค้าคนกลางบอกราคาเท่าไหร่เกษตรกรก็จำใจต้องขายในราคาเท่านั้น ถึงแม้จะรู้สึกว่าไม่พอใจในราคาที่ได้รับก็ตามที เพราะเมื่อขนลำไยไปถึงจุดรับซื้อของพ่อค้าคนกลางแล้ว เกษตรกรจะขนกลับก็ยังไม่รู้ว่าจะนำลำไยไปขายที่ไหนได้หมดภายในระยะเวลาที่จำกัด เนื่องจากวิธีการขายแบบอื่นๆ จะขายได้ในปริมาณที่น้อยแต่เกษตรกรเก็บลำไยแต่ละครั้งในปริมาณที่มาก

สรุป

ผลสรุปจากการสัมภาษณ์และสังเกตุที่ผู้เขียนนำเสนอแล้วข้างต้น คงจะทำให้ผู้อ่านได้รับคำตอบแล้วว่า “เพราะเหตุใดเกษตรกรถึงไม่พอใจในราคาที่ได้รับ?” และ “ใครคือผู้กำหนดราคาลำไยที่แท้จริง” ส่วนในปีฤดูการผลิตลำไยปี 2552 นี้ ผู้เขียนเชื่อว่าระบบการซื้อขายลำไยจะยังคงเป็นแบบรูปแบบเดิมอย่างนี้อยู่ต่อไป หากหลาย ๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาของลำไย แล้วท่านผู้อ่านคิดอย่างไรกับปัญหาการซื้อขายลำไยที่จะเกิดขึ้นในปี 2552 นี้?